ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกวิชาภาษาไทยของนางสาวนันทิพร เสือณรงค์ เลขที่ 16 ชั้น ม.4/2

เม้า1

เม้าส์

Cute Ghost

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

ความรู้เพิ่มเติม

ทศชาติชาดก
              เป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ๑๐ ชาติก่อนจะตรัสรู้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละชาติทรงบำเพ็ญ ทศบารมีต่าง ๆ กัน เรียกว่า หัวใจพระเจ้าสิบชาติ
ชาติที่   เตมียชาดก  ( เต )  ทรงบำเพ็ญเนกขัมบารมี  คือ การออกบวช เนื้อเรื่อง คือ พระชาตินี้ทรงเกิดเป็นกษัตริย์  แต่แกล้งทำเป็นใบ้   เพื่อจะเสด็จออกบรรพชาได้สะดวก
ชาติที่ ๒  มหาชนกชาดก  ( ชะ )  ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี  คือ ความเพียร เนื้อเรื่อง คือ
พระมหาชนกทรงโดยสารเรือ  เรือแตกต้องว่ายอยู่ในมหาสมุทรถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดขึ้นฝั่งได้จากการช่วยเหลือของเทวดาผู้รักษามหาสมุทร
ชาติที่ ๓  สุวรรณสามชาดก  ( สุ )  ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมี คือ ความเมตตา เนื้อเรื่อง คือ พระสุวรรณสามทรงเมตตาสัตว์ในป่าและมีความกตัญญูกตเวทีเลี้ยงดูบิดามารดาที่ตาบอดอยู่ในป่า
ชาติที่ ๔  เนมิราชชาดก  ( เน )  ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี คือ มีความตั้งใจมั่น  เนื้อเรื่อง คือ พระอินทร์ให้มาตุลีเทพบุตรพาพระเนมิราชไปชมนรกสวรรค์
ชาติที่ ๕  มโหสถชาดก ( มะ )   ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี คือ มีปัญญา เนื้อเรื่อง คือ พระมโหสถ ทรงใช้ปัญญาแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม
ชาติที่   ภูริทัตชาดก ( ภู )   ทรงบำเพ็ญศีลบารมี คือ การรักษาศีล เนื้อเรื่อง คือ พระภูริทัตถูกหมองูจับตัวไป แต่ก็มิได้ทรงทำอันตรายหมองู เพราะเกรงว่าศีลจะขาด
ชาติที่ ๗  จันทกุมารชาดก ( จะ )   ทรงบำเพ็ญขันติบารมี  คือ ความอดทน เนื้อเรื่อง คือ พระชาตินี้พระองค์ถูกจับบูชายันต์  แต่ในที่สุดพระอินทร์มาช่วยไว้ได้
ชาติที่ ๘  นารทชาดก ( นา )  ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี คือ การวางเฉย เนื้อเรื่อง คือ พระองค์ทรงเกิดเป็นพระพรหม แปลงลงมาทรมานกษัตริย์ที่มิจฉาทิฐิ ให้กลับเป็นสัมมาทิฐิตามเดิม
ชาติที่ ๙  วิทูรชาดก ( วิ )  ทรงเพ็ญสัจจาบารมี  คือ การมีสัจจะ เนื้อเรื่อง คือ พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดปุณกยักษ์ให้หมดยศ
ชาติที่ ๑๐  เวสสันดรชาดก ( เว ) ทรงบำเพ็ญทานบารมี คือ การให้ทาน เนื้อเรื่อง คือ
พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานต่าง ๆ โดนเฉพาะอย่างยิ่งบุตรทารทานบารมี คือ การให้บุตรภรรยาเป็นทาน ชาตินี้เป็นพระชาติสุดท้าย นับว่าเป็นพระชาติที่ยิ่งใหญ่ จึงเรียกพระชาตินี้ว่า มหาชาติ

      
ทศบารมี

               คือ บารมี ๑๐ ประการที่พระเวสสันดรบำเพ็ญจนครบในชาติเดียว มีดังนี้
๑.     เมื่อประสูติได้ตรัสกับพระมารดาว่าจะบำเพ็ญทานและการบริจาคทานทั้งปวงเป็น     
ทานบารมี
๒.  เมื่ออยู่ในฆราวาสวิสัย ทรงรักษาเบญจศีลตลอดเวลา และรักษาอุโบสถศีลทุกๆ ครึ่งเดือนเป็น ศีลบารมี
๓.  เมื่อละกามคุณ ทรงผนวชเป็นดาบสอยู่ที่เขาวงกต เป็น เนกขัมมบารมี
๔.  เมื่อทรงดำริที่จะให้อัชฌัติกทานตั้งแต่ยังอยู่ในทารกภูมิ และเมื่อพระราชทานโอรสทั้งสองแก่ชูชก ทรงใช้วิจารณญาณช่วยให้บรรเทาความเศร้าโศกเสียใจได้ เป็น ปัญญาบารมี
๕.  เมื่อดำรงราชสมบัติทรงอุตสาหะเสด็จออกสู่โรงทาน ๖ แห่ง ทุกๆ ครึ่งเดือน ไม่เคยขาด เมื่อออกบรรพชา ทรงอุตสาหะบูชาไฟตลอด เป็น วิริยะบารมี
๖.  ไม่พิโรธพระราชบิดาที่สั่งให้เนรเทศพระองค์ และทรงอดกลั้นความโกรธ เมื่อเห็นชูชกเฆี่ยนตีพะโอรสทั้งสอง เป็น ขันติบารมี
๗.  เมื่อตรัสปฏิภาณว่าจะให้บุตรทานแก่พราหมณ์ ก็ทรงบริจาคให้ตามสัตย์ นับว่าเป็น    
สัจบารมี
๘.  เมื่อทรงสมาทานมั่น ไม่ให้พระหฤทัยอาลัยพระโอรสทั้งสองและเมื่อกระทำพระทัยมั่นมิได้ หวั่นไหวเกรงภัยจากกองทัพของพระเจ้ากรุงสญชัยที่จะมารับพระองค์กลับพระนคร นับเป็น อธิษฐานบารมี
๙.  เมื่อแผ่พระเมตตาแก่ชาวกลิงคราษฎร์ เมื่อพระราชทานช้างปัจจัยนาค และเมื่อสถิตในเขาวงกตได้แผ่พระเมตตาแก่สรรพสัตว์ทั่วไปเป็น  เมตตาบารมี
๑๐.  เมื่อตัดความเสน่หาอาลัยในพระโอรสทั้งสองได้ ไม่โกรธชูชก ทั้งประทับเป็น
มัชฌัตตารมณ์ ไม่รักไม่ชังผู้ใดเป็น อุเบกขาบารมี

ทศพร
        พร ๑๐ ประการ ที่พระอินทร์ประทานให้พระนางผสุสดี
๑.  ให้ได้อยู่ในปราสาทของพระเจ้าสีวีราชแห่งกรุงสีพี
๒. ให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาของลูกเนื้อทราย
๓.  ให้มีคิ้วโก่งดำสนิท
๔.  ให้มีพระนามว่าผสุสดี
๕.  ให้มีพระโอรสที่ฝักใฝ่ในการบริจาคทาน
๖.   เมื่อเวลาทรงครรภ์มิให้ครรภ์ปรากฏนูนเหมือนสตรีสามัญ
๗.  ให้มีถันอันงาม  เวลาทรงครรภ์มิให้ดำและหย่อนยาน
๘.  ให้มีเกศาสนิท
๙.   ให้มีผิวงาม
๑๐. ให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้
 พร ๘ ประการ
           พร ๘ ประการ ที่พระอินทร์ประทานให้แก่พระเวสสันดร
๑.  ให้บิดาเสด็จมารับพระองค์กลับไปครองราชย์ในนคร
๒. ให้ได้ปลดปล่อยนักโทษทั้งหมด
๓.  ให้ได้ช่วยเหลือคนยากจนให้บริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ
๔.  อย่าให้ลุอำนาจสตรีให้พอใจแต่พระชายาของพระองค์
๕.  ให้กุมารทั้งสองมีมายุยืนนานและเป็นกษัตริย์สืบราชสมบัติ
๖.   ให้ฝนแก้วทั้ง ๗ ประการ ตกในนครสีพีเมื่อพระองค์เสด็จกลับไป
๗.  ให้ได้บริจาคทรัพย์แก่คนยากจน  ด้วยสมบัติในท้องพระคลังอันไม่รู้หมดสิ้น
๘.   เมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว ให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต และในพระชาติต่อมาให้ได้บรรลุ
พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า

การบริจาคทานของพระเวสสันดรที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว ๗ ครั้ง มีดังนี้
๑.  เมื่อทรงปฏิญาณว่าบริจาค พระหทัย พระเนตร พระมังสา หรือพระโลหิต ถ้ามีผู้มาขอ
๒.  เมื่อพระราชทานช้างปัจจัยนาค
๓.  เมื่อพระราชทานมหาทานก่อนเสด็จไปประทับที่เขาวงกต
๔.  เมื่อพระราชทานพระโอรสทั้งสองแก่ชูชก
๕.  เมื่อพระราชทานพระนางมัทรีแก่พระอินทร์ที่แปลงเป็นพราหมณ์
๖.  เมื่อได้พบพระราชบิดา และพระราชมารดาอีกครั้งในป่า
๗.  เมื่อเสด็จนิวัติพระนครสีพี



วิเคราะห์วิจารณ์


คำว่า มหาชาติ หมายถึง การเกิดครั้งยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ หมายความว่าในพระชาติสุดท้ายที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรได้บำเพ็ญบารมีครบถ้วนทุกประการ ก่อนจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกของโลก คำว่า คำหลวง หมายถึงหนังสือที่พระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายชั้นสูงทรงนิพนธ์หรือหนังสือที่พระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายชั้นสูงทรงสนับสนุนให้คนอื่นแต่ง เนื้อหาจะเกี่ยวข้องกับศีลธรรม ศาสนา คำประพันธ์ที่ใช้ค่อนข้างหลากหลายมีทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย ใช้สวดเข้าทำนองหลวง
            มหาชาติคำหลวง เป็นหนังสือมหาชาติภาษาไทยที่เป็นคำหลวงเรื่องแรกของไทย ซึ่งแต่เดิมได้หายไปบ้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ ๒ ทรงให้แต่งซ่อมจนครบ ๑๓ กัณฑ์ ที่แต่งเพิ่มเข้ามาคือ กัณฑ์หิมพาน กัณฑ์ทานกัณฑ์ กัณฑ์จุลพน กัณฑ์มัทรี กัณฑ์สักบรรพและกัณฑ์กษัตริย์
๑.    ผู้แต่ง               
             นักปราชญ์ราชบัณฑิตหลายคนช่วยกันแต่ง ตามพระบรมราชโองการของสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๕

๒. ลักษณะการแต่ง
              ใช้คำประพันธ์หลายประเภทในการแต่ง คือมีทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย โดยมีภาษาบาลีแทรกอยู่ทั้งเรื่อง

๓.  วัตถุประสงค์ในการแต่ง
                วรรณคดีเรื่อง มหาชาติคำหลวง ไม่ได้แต่งสำหรับพระเทศน์ แต่งสำหรับนักสวด สวดให้อุบาสกอุบาสิกาฟังเวลาไปอยู่บำเพ็ญการกุศลที่ในวัด เวลาวันนักขัตฤกษ์  เช่น วันเข้าพรรษา ออกพรรษา หรือเทศกาลอื่น ๆ ประเพณีอันนี้ยังมีมาจนตราบเท่าทุกวันนี้




๔.  สาระสำคัญ
                มหาชาติคำหลวง มีข้อความแบ่งเป็น ๑๓ ตอน ดังนี้
                ตอนที่ ๑ ว่าด้วยกัณฑ์ทศพร จับเอาตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธ ครองราชสมบัติอยู่ที่พระนครราชคฤห์ แล้วเสด็จไปโปรดพระเจ้า        สุทโธทนะพระพุทธบิดาพระประยูรญาติในกรุงกบิลพัสดุ์ ณ ที่นั้นได้เกิดฝนโบกขรพรรษ คือ ฝนดุจน้ำตกลงบนใบบัว เป็นฝนวิเศษ กล่าวไว้ว่าใครนึกอยากจะให้เปียก ก็เปียก ใครไม่อยากให้เปียก ก็ไม่เปียก พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเห็นแล้วเป็นอัศจรรย์จึงกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงแสดงเหตุผลในเรื่องนี้พระพุทธองค์จึงแสดงมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นเรื่องของพระนางผุสดีขอประทานพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์
                ตอนที่ ๒ ว่าด้วยกัณฑ์หิมพานต์ กล่าวถึงพระเวสสันดรว่าทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสญชัยกับนางผุสดี แห่งแคว้นสีวีราษฎร์ ประสูติที่ตรอกพ่อค้า จึงได้นามว่า เวสสันดร ทรงเป็นนักเสียสละผู้ยิ่งใหญ่มาแต่ทรงพระเยาว์ กล่าวคือเมื่อมีพระชนมายุได้เพียง ๔ พรรษาก็ทรงปรารถนาบริจาคอวัยวะของตน เมื่อพระองค์ได้รับราชสมบัติ ทรงมีพระทัยกว้าง จึงได้พระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่พราหมณ์ชาวกลิงคราษฏร์ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชาวเหล่านั้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจกันใหญ่ จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าสญชัยให้เนรเทศ
พระเวสสันดรไปอยู่ป่าหิมพานต์ พระเวสสันดรจึงไปอยู่ป่าหิมพานต์
                ตอนที่ ๓  ว่าด้วยกัณฑ์ทานกัณฑ์ ก่อนที่พระเวสสันดรจะเสด็จไปอยู่ป่าหิมพานต์ พระองค์ทรงมีการบริจาคทานที่ยิ่งใหญ่อีก เขาเรียกว่าสัตตดก มหาทาน แปลว่า การให้ที่ยิ่งใหญ่อย่างละ ๗๐๐ คือให้ช้าง ๗๐๐ เชือกให้ม้า๗๐๐ ตัว ให้รถ ๗๐๐ คัน ให้ทาสชาย ๗๐๐ คน ให้ทาสหญิง ๗๐๐ คน ให้โคนม ๗๐๐ ตัวและให้นางสนม ๗๐๐คน
                ตอนที่ ๔ ว่าด้วยกัณฑ์วนปเวสน์ กล่าวถึงพระเวสสันดรทรงพาพระนางมัทรีพระชายา ชาลีโอรส และกัณฑ์หาพระธิดา เสด็จออกจากเมือง ผ่านแคว้นเจตราษฎร์ไปประทับอยู่ที่เขาวงกตในป่าหิมพานต์ (ป่าหิมพานต์นี้เป็นป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นภูเขาใหญ่ อยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเข้าใจว่าเป็น ภูเขาหิมาลัย)
                ตอนที่ ๕ ว่าด้วยกัณฑ์ชูชก กล่าวถึงชูชก พราหมณ์ผู้เป็นขอทาน ซึ่งได้นางอมิตตดาสาวสวยงามมาเป็นภริยา นางใช้ให้ชูชกไปขอกัณหาและชาลี ชูชกรักภริยาจึงเดินทางดั้นด้นไปสืบหาข่าวที่แคว้นสีวีราษฎร์ ผู้คนพากันเกลียดชังชูชก ชูชกก็พยายามหลบหลีกการทำร้ายของชาวบ้านมาจนได้ เดินทางต่อไปก็ไปพบพรานเจตบุตร ได้หลอกล่อให้พรานเจตบุตรบอกทางไปเขาวงกตจนได้
                ตอนที่ ๖ ว่าด้วยกัณฑ์จุลพน กล่าวถึงชูชกพราหมณ์เฒ่าเดินทางผ่านป่าตามที่พรานเจตบุตรบอกให้ เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงอาศรมของอัตจุตฤาษี
                 ตอนที่ ๗ ว่าด้วยกัณฑ์มหาพน กล่าวถึงเฒ่าชูชกได้ใช้วิธีหลอกล่อ เพื่อฤาษีอัตจุตบอกทางไปหาพระเวสสันดร
                ตอนที่ ๘ ว่าด้วยกัณฑ์กุมาร กล่าวถึงชูชกเข้าไปกราบทูลขอชาลีกับกัณหาจาก
พระเวสสันดร พระเวสสันดรทรงพระราชทานให้ ชูชกได้ทุบตีกัณหากับชาลีต่อหน้าพระพักตร์ของพระเวสสันดร ก่อนจะเดินทางจากไป
                ตอนที่ ๙ ว่าด้วยกัณฑ์มัทรี กล่าวถึงพระนางมัทรีที่จะเสด็จกลับจากการหาผลไม้ในป่า เมื่อมาถึงไม่เห็นกัณหากับชาลี ก็ออกติดตามจนค่ำคืนดื่นดึกก็ไม่พบ จนถึงกับเป็นลมสลบลงต่อหน้าพระพักตร์ของพระเวสสันดร เมื่อฟื้นขึ้นพระเวสสันดรจึงตรัสเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยตลอด เหตุผลก็คือเป็นการบริจาคครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ต้องการออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าพระนางมัทรีถึงจะโศกเศร้าเพียงไร ในที่สุดก็ต้องอนโมทนาสาธุการเห็นดีด้วย
                ตอนที่ ๑๐ ว่าด้วยกัณฑ์สักกบรรพ กล่าวถึงท้าวสักกะ พระอินทร์ ในฐานะที่เป็นจอมแห่งเทวดาเกิดความเกรงพระทัยว่าจะมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรีไปเสียอีกคน จึงทรงแปลงพระองค์เป็นพราหมณ์ชรามาทูลขอพระนางมัทรีกับพระเวสสันดรแล้วก็ทรงฝากไว้กับ
พระเวสสันดรนั่นแหละ
                ตอนที่ ๑๑ ว่าด้วยกัณฑ์มหาราช กล่าวถึงตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ชูชกเดินทางไปแคว้นสีวีราษฎร์ พระเจ้าสญชัยทรงไถ่กัณหากับชาลีให้เป็นอิสระ และทรงเลี้ยงเฒ่าชูชกอย่างเต็มที่ ปรากฏว่าชูชกสวาปามไปเต็มคราบจนถึงกับต้องตายเพราะความงกกิน
                ตอนที่ ๑๒ ว่าด้วยกัณฑ์ฉกษัตริย์ กล่าวถึงพระเจ้ากรุงสญชัยเสด็จด้วยพระนางผุสดี กัณหาและชาลี เพื่อไปรับพระเวสสันดรและพานางมัทรีกลับพระนคร เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ ทรงพบกันที่เขาวงกต ก็ทรงถึงแก่วิสัญญีภาพทั้ง ๖ พระองค์ ด้วยความดีพระทัยที่ได้พบกันอีก ด้วยทรงนึกว่าคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว และด้วยความเศร้าพระทัย ที่ต้องพลัดพรากจากกันไปนาน ในตอนนี้ พระอินทร์ผู้มีนามว่าท้าวสักกะจอมเทวดาได้ทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา สร้างความชุ่มชื่นทำให้กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ ทรงฟื้นสติขึ้นมา
                ตอนที่ ๑๓ เป็นตอนสุดท้าย ว่าด้วยกัณฑ์นครกัณฑ์ กล่าวถึงกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ เสด็จกลับถึงพระนคร แคว้นสีวีราษฎร์ และพระเวสสันดรก็ได้ครองราชย์สมบัติตามเดิม บ้านเมืองมีความสงบสุข ประชาชนร่มเย็นตามเดิม

คำศัพท์

ลำดับ
คำศัพท์
ความหมาย
๑.
คาถาพัน
บทประพันธ์เรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่แต่งเป็นภาษาบาลีล้วน ๆ พันบท  เรียกการเทศน์มหาเวสสันดรชาดกที่เป็นคาถาล้วน ๆ อย่างนี้ว่า  เทศน์คาถาพัน
๒.
บุตรทารทาน
การให้ทานโดยสละบุตรและภรรยา (ทาร)
๓.
ภัทรกัป
กัปอันเจริญหรือกัปที่ดีแท้ เป็นชื่อของกัปปัจจุบันนี้ คือกัปที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ๕ พระองค์
๔.
สมุจเฉทปหาร
การละกิเลสได้โดยเด็ดขาดด้วยอริยมรรค
๕.
สังสารวัฏ
การเวียนไหว้ตายเกิด

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมา

                เรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในพระชาติกำเนิดอันยิ่งใหญ่ คือเป็นพระเวสสันดรชาดกเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งใน นิบาตชาดก มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เรามักเรียกนิบาตชาดกเป็นไทยๆว่า พระเจ้าห้าร้อยห้าสิบชาติ นิบาตชาดกเป็นคัมภีร์ซึ่งประกอบไปด้วยนิทานเรื่องต่างๆ ล้วนเป็นอุทาหรณ์สอนธรรมะเล่าถึงการเสวยพระชาติในอดีตของพระพุทธเจ้าว่าชาติใดทรงเกิดเป็นอะไร และได้ทรงกระทำคุณความดี หรือที่เรียกกันเป็นศัพท์ว่า "บำเพ็ญบารมี" อะไรใน   พระชาตินั้นๆ พระชาติหนึ่งก็ทรงสร้างคุณความดีหรือบารมีอย่างหนึ่งทุกชาติไป ในจำนวน ๕๕๐  พระชาติที่ปรากฏในนิบาตชาดกนั้นได้บำเพ็ญบารมีเด่นยิ่งอยู่ ๑๐ ชาติ ที่เรียกกันว่า ทศชาติ ทรงบำเพ็ญทศบารมี คัมภีร์ที่กล่าวถึงทศชาติและบารมีนี้เรียกว่า คัมภีร์มหานิบาต ในทศชาติตามมหานิบาตนั้น ที่ถือว่าสำคัญที่สุด คือ พระชาติที่ทรงบังเกิดเป็นพระเวสสันดร นอกจากจะทรงบำเพ็ญทานบารมีเป็นที่เด่นที่สุดแล้วยังทรงบำเพ็ญบารมีอื่นๆ อันได้กระทำแล้วใน๙   พระชาติก่อนๆ อีกด้วย เท่ากับได้ทรงกระทำคุณความดีเด่นยิ่งครบ ๑๐ ประการในชาตินี้       มหาเวสสันดรชก จึงเป็นชาดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บางครั้งจึงเรียกชาดกเรื่องนี้ว่า มหาชาติ พุทธศาสนิกชนชาวไทยนับถือกันมาตั้งแต่ครั่งโบราณว่า  มหาเวสสันดรชาดก เป็นชาดกที่สำคัญว่าชาดกอื่น เพราะว่าด้วยเรื่องราวที่ปรากฏของพระโพธิสัตว์อยู่ด้วยบริบูรณ์ทั้ง  ๑๐ บารมี  และพุทธศาสนิกชนชาวไทยก็นิยมฟังเทศน์กันมาด้วยตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกนั้นมีสันนิษฐานพบหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา และถือว่าเป็น      มหาเวสสันดรชาดกที่แปลแล้วนำมาแต่งเป็นภาษาไทยเล่มแรก  คือ มหาชาติคำหลวง ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระกรุณาโปรดเกล้า ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยแปลและเรียบเรียงขึ้น เมื่อ พ.๒๐๒๕ ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ได้โปรดเกล้า ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิต เรียบเรียงมหาเวสสันดรชาดกเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ..๒๑๗๐  เรียกว่า กาพย์มหาชาติ   แต่งแปลเป็นภาษาไทยใช้    ฉันทลักษณ์เดียวคือ     ร่ายยาว เพื่อใช้สำหรับเทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกาได้ฟัง  นอกจากนั้นยังมีผู้นำ มหาเวสสันดรชาดก ไปแต่งเป็นภาษาไทยอีกหลายจำนวน   และใช้คำประพันธ์หลายชนิด เช่น กลอน ฉันท์  กาพย์ ลิลิต และ ร้อยแก้ว รวมทั้งยังมีมหาเวสสันดรชาดกที่เป็นภาษาถิ่นอีกหลายฉบับดังนี้
๑.  มหาชาติภาคกลาง เมื่อ พ.๒๔๕๐ กรมศึกษาธิการได้รวบรวมมหาชาติสำนวนต่างๆเนื้อหาอยู่ในคัมภีร์เทศน์มหาชาติเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ ๑๐๐๐ พระคาถา ซึ่งเทศน์ด้วยภาษาไทยถิ่นกลางหรือภาษาไทยมาตรฐาน เทศน์มหาชาติภาคกลาง มีทั้งทำนองหลวงและทำนองราษฎร์ มีทั้งเทศน์ในวัง และเทศน์ในวัด เทศน์ในวังเทศน์แบบทำนองหลวงอย่างเดียว เทศน์ในวัดมีทั้งทำนองหลวงและทำนองราษฎร์ ส่วนวัดขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านบุคลากร จะเทศน์มหาชาติแบบเรียงกัณฑ์ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ตามคัมภีร์เรียกว่าทำนองหลวง เทศน์นอกคัมภีร์เรียกว่าทำนองราษฎร์ บางวัดก็เทศน์แบบผสมผสาน เรียกว่าเทศน์ทั้งเนื้อนอกเนื้อใน ที่มีผู้แต่ง   ๖ ท่าน ดังนี้
-    กัณฑ์ทศพร กัณฑ์หิมพานต์  กัณฑ์วนปเวศน์  กัณฑ์จุลพน กัณฑ์สักกบรรพ
 กัณฑ์มหาราช และ นครกัณฑ์ พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิต ชิโนรส
-    กัณฑ์วนปเวศน์    กัณฑ์จุลพน และกัณฑ์สักกบรรพ พระราชนิพธ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
-    กัณฑ์กุมาร  กัณฑ์มัทรี งานนิพนธ์ เจ้าพระยาพระคลัง(หน)
-    ทานกัณฑ์ งานนิพนธ์ สำนักวันถนน
-    กัณฑ์ชูชก งานนิพนธ์ สำนักวัดสังข์กระจาย
     สำนวนดังกล่าวนั้นแต่งเป็นร่ายยาว นิยมเรียกว่า  มหาชาติคำกลอน พระสงฆ์นิยมเอามาเทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกาได้ฟังกัน


๒.  มหาชาติภาคเหนือ  สำนวนที่น่าสนจำได้แก่ มหาชาติสำนวนสร้อยสังกร และสำนวนที่รวบรวมโดย พระอุบาลีคุณูปมาจราย์  แต่งเป็นร่ายยาว ที่มีคำคล้องจอง สัมผัสกันไปในแต่และวรรค เป็นมหาชาติที่มีเนื้อความและสำนวนภาษาคล้ายกับมหาชาติของภาคเหนืออีกสำนวนหนึ่ง ที่เรียกว่า สำนวนไม้ไผ่แจ้เจียวแดง ซึ่งเชื่อว่าแต่งในสมัยอยุธยา และเป็นต้นแบบของมหาชาติภาคเหนืออื่นๆ
.   มหาชาติภาคอีสาน นั้นมีหลายสำนวนแต่ละวัดต่างใช้ฉบับของท้องถิ่นและคัดลอกสืบต่อมา ชาวอีสานส่วนใหญ่ได้รับวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโขงมาโดยตลอด และพิธีบุญพระเวส หรือ           บุญเผวสหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบุญมหาชาติ มีการทำกันเดือนใดเดือนหนึ่ง ในระหว่างออกพรรษาจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้แล้วแต่สะดวก แต่ส่วนมากนิยมทำกันในเดือนสี่ดังมีคำพังเพยว่า "เดือนสามด้อยเจ้าหัวคอยปั้นข้าวจี่เดือนสี่ด้อยจัวน้อยเทศน์มะที" (คำว่า เจ้าหัว หมายถึงพระภิกษุ จัว หมายถึงสามเณร มะที หมายถึง มัทรี) บางแห่งทำในเดือนหกหรือเดือนเจ็ดก็มีและหากทำในเดือนหกหรือเดือนเจ็ดมักจะทำ บุญบั้งไฟรวมด้วยก่อนจัดงาน ทางบ้านและวัดจะมีการปรึกษาหารือตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนทางชาวบ้านจะจัด อาหารการกิน เช่น ขนม ข้าวต้ม และอาหารคาวต่าง ๆ สำหรับถวายพระภิกษุสามเณรและเลี้ยงแขกเลี้ยงคนที่มาร่วมงาน และจัดหาปัจจัยไทยทานสำหรับใส่กัณฑ์เทศน์เพื่อถวายพระภิกษุสามเณร ส่วนทางวัดก็แบ่งหนังสือออกเป็นกัณฑ์ ๆ หนังสือผูกหนึ่งอาจแบ่งเป็นหลายกัณฑ์ก็ได้เพื่อให้ชาวบ้านได้รับกัณฑ์โดย ทั่วถึงกัน มอบหนังสือให้พระภิกษุสมเณรในวัดนั้นเพื่อเตรียมไว้เทศน์ นอกนั้นจะมีการนิมนต์พระจากวัดอื่นมาเทศน์ โดยจะมีฎีกาไปนิมนต์พร้อมบอกชื่อกัณฑ์และบอกเชิญชวนชาวบ้านที่วัดนั้นตั้ง อยู่มาร่วมทำบุญด้วย ซึ่งตามปรกติเมื่อพระภิกษุสามเณรมาร่วมงานก็จะมีญาติโยมในหมู่บ้านนั้น ๆ ตามมาฟังเทศน์และร่วมงานด้วยหมู่บ้านและมาก ๆ หัวหน้าหรือผู้จัดงานในหมู่บ้านที่เป็นเจ้าของงานจะบอกบุญชาวบ้านในหมู่บ้าน ของตน ให้รับเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์กัณฑ์ใด กัณฑ์หนึ่งจนทั่วถึงกันและบอกจำนวนคาถาของแต่ละกัณฑ์ให้ทราบด้วยเพื่อเตรียม ความเทียนมาตามจำนวนคาถาของกันฑ์ที่คนซึ่งจำนวนคาถาของกัณฑ์ต่าง ๆมีดังนี้               ทศพร ๑๙ คาถา หิมพานต์ ๑๓๔ คาถาทานกัณฑ์ ๒๐๙ คาถา วนปเวสน์ ๕๗ คาถาชูชก ๗๙ คาถา จุลพน ๓๕ คาถามหาพน ๘๐คาถา กุมาร ๑๐๑ คาถามัทรี ๙๐ คาถาสักบรรพ ๔๓          คาถามหาราช ๖๙ คาถากษัตริย์ ๓๖ คาถาและนครกัณฑ์ ๔๘ คาถา รวม ๑๐๐๐ คาถาพอดีชาวบ้านยังแบ่งหน้าที่กันด้วยว่าใครเป็นผู้รับเลี้ยงพระภิกษุสามเณร และญาติโยมหมู่บ้านใด โดยแบ่งหน้าที่มอบให้รับผิดชอบเป็นกลุ่ม ๆ เนื่องจากแต่ละวัดมีชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านไปร่วมกันมากชาวบ้านจึงช่วยกัน ปลูกที่พักชั่วคราวขึ้น เรียกว่า ตูบ (กระท่อม) หรือผาม (ปะรำ) จะปลูกรอบบริเวณวัดรอบศาลาหรือรอบกฏิก็ได้ตูบมีขนาดกว้างประมาณ ๔ ศอก ยาวตามความเหมาะสมหลังคาเป็นรูปเพิงหรือเป็นจั่วก็ได้ พื้นปูด้วยกระดานหรือฟากที่พักนี้กะจัดทำให้พอเพียง และให้เสร็จเรียบร้อยก่อนวันเริ่มงาน
.มหาชาติภาคใต้ สำนวนที่น่าสำนวนที่น่าสนใจ เช่น พระมหาชาดก ฉบับ วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา ไม่ปรากฏผู้แต่ง ทราบเพียงชื่อผู้ที่ทำการคัดลอก คือ พระภิกษุญีมเซ่า คัดลอกลงในสมุดข่อย เมื่อ พ..2395ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยแต่งเป็น     กาพย์ยานี11 กาพย์ฉบัง16 กาพย์สุรางคนางค์28 และมาลีนีฉันท์ 15 มหาชาติทางภาคใต้นั้นเน้นการพรรณนามากว่าภาคเหนือและภาคอีสาน แต่น้อยกว่าภาคกลางโดยเน้นแสดงลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น เช่น เรื่องอาหาร พรรณไม้ ภูมิประเทศ
 

ลักษณะคำประพันธ์


         มหาชาติหรือมหาเวสสันดรชาดกสำนวนภาคกลางนิยมแต่งร่ายยาว  เพราะร่ายยาวเหมาะแก่การใช้แหล่เทศน์  ผู้เทศน์จะออกเสียงได้ไพเราะและเปลี่ยนทำนองเทศน์ได้หลายอย่าง
          ร่ายยาวเป็นการเรียบเรียงถ้อยคำให้คล้องจองกันเป็นวรรค คือ คำสุดท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสไปยังวรรคหลัง  ซึ่งรับสัมผัสได้แทบทุกคำ  ยกเว้นคำที่อยู่ท้ายวรรค  เป็นเช่นนี้ไป
จนจบ  แต่ละบทจะยาวเท่าใดก็ได้  แต่มักไม่ต่ำกว่า ๔ วรรค
          ร่ายยาวมหาเวสสันดร  จะยกคาถาบาลีนำก่อน  แล้วจึงแต่งร่ายยาวตาม  ดังตัวอย่าง
“…สา อมิต.ตตาปนา  ส่วนว่านางอมิตตดานั้นเป็นลูกเหล่าตระกูลไม่เสียชาติ  ไม่คิดว่าตัวเป็นสาวได้ผัวแก่แล้วก็เป็นเมียทาส  คิดว่าทุกข์ของพ่อแม่กรรมแล้วก็ตามกรรม  สมมา  ปฏิชค,
คิ เป็นต้นว่าหาหุงต้มตักตำทุกค่ำเช้าไม่ขวยเขินละอายเพื่อน เวลาเช้าเจ้าก็ทำเวลาค่ำเจ้าก็มิให้เตือนทั้งการเรือนเจ้าก็มิให้ว่า  ทั้งฟืนเจ้าก็หักทั้งผักเจ้าก็หา  เฝ้าปรนนิบัติเฒ่าชราทุกเวลากาลนั้นแล…”

เนื้อเรื่องย่อมหาเวสสันดรชาดกทั้ง 13 กัณฑ์

  ปฐมเหตุ
            หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ทำให้พระประยูรญาติละทิฐิยอมถวายบังคม ก็บังเกิดฝนโบกขรพรรษพระภิกษุทั้งหลายจึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า ฝนชนิดนี้เคยตกมาแล้วในอดีต พระองค์จึงทรงแสดงธรรมเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก หรือเรื่องมหาชาติ ทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ตามลำดับ ดังนี้ กัณฑ์ทศพร กัณฑ์หิมพานต์ กัณฑ์ทานกัณฑ์ กัณฑ์วนปเวสน์ กัณฑ์ชูชก กัณฑ์จุลพน กัณฑ์มหาพน กัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรี กัณฑ์สักกบรรพ กัณฑ์มหาราช กัณฑ์กษัตริย์ และกัณฑ์นครกัณฑ์
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร  มี ๑๙ พระคาถา
            กล่าวถึงปฐมเหตุที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาเล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดกแก่ภิกษุทั้งหลาย ณ     นิโครธารามมหาวิหาร โดยเริ่มเรื่องจากการกำเนิดพระนางผุสดีผู้ถวายแก่นจันทร์บดแด่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง และตั้งจิตปรารถนาว่า ขอให้ได้เป็นพระพุทธมารดาในอนาคต เมื่อได้บังเกิดในสวรรค์ได้เป็นมเหสีของพระอินทร์ ในกัณฑ์นี้กล่าวถึงนางดุสดีจะต้องจุติจากสวรรค์พระอินทร์จึงประทานพร ๑๐ ประการให้นางผุสดี ได้แก่ ๑.ขอให้เกิดในกรุงมัทราช แคว้นสีพี ๒.ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย ๓.ขอให้คิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง ๔.ขอให้ได้นาม “ผุสดี” ดังภพเดิม ๕.ขอให้มีพระโอรสเกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป
๖.ขอให้พระครรภ์งาม ไม่ป่องนูนดังสตรีสามัญ ๗.ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานไม่คล้อยลง ๘.ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ ๙.ขอให้ผิวพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ ๑๐.ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์  มี ๑๓๔ พระคาถา
            กล่าวถึงนางผุสดีซึ่งจุติจากสวรรค์ลงมาประสูติเป็นพระธิดากษัตริย์มัทราชและได้เป็นพระมเหสีพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งแคว้นสีพี พระนางผสุดีได้ประสูติพระเวสสันดรในขณะประพาสชมพระนคร และขณะนั้นนางช้างฉัททันต์ก็ได้นำลูกช้างเผือกมาไว้ในโรงช้างต้น ต่อมาลูกช้างเผือกตัวนั้นได้ชื่อว่า “ปัจจัยนาเคนทร์” มีคุณวิเศษ คือ ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
พระเวสสันดรใฝ่ใจในการบริจาคทาน เมื่อได้เสวยราชสมบัติและอภิเษกกับนางมัทรีแล้ว ได้ตั้งโรงทานถึง ๖ แห่ง และเมื่อพระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้กับชาวเมืองกลิงคราษฎร์ ซึ่งเป็นเมืองที่แห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพงมาหลายปี ทำให้ชาวเมืองสีพีโกรธและเรียกร้องให้พระเจ้ากรุงสญชัยทรงลงโทษพระเวสสันดรพระเจ้ากรุงสญชัยจึงทรงเนรเทศพระเวสสันดรไปจากเมือง
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์  มี ๒๐๙ พระคาถา
            เมื่อนางผุสดีทรงทราบว่าพระเวสสันดรถูกเนรเทศ พระนางจึงทูลขอโทษ แต่พระเจ้ากรุงสญชัยมิได้ตรัสตอบ พระนางจึงเสด็จไปที่พระตำหนักพระเวสสันดรและทรงรำพันต่างๆ นานา
            รุ่งขึ้นพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญสัตตสดกมหาทาน แล้วจึงพาพระนางมัทรีและสองกุมารเข้าไปทูลลาพระเจ้ากรุงสญชัย
พระเจ้ากรุงสญชัยทรงห้ามพระนางมัทรีมิให้ติดตามไปด้วย เพราะจะได้รับความลำบากในป่า แต่พระนางมัทรีก็ทูลถึงเหตุผลอันเหมาะสมที่พระนางจะต้องตามเสด็จพระเวสสันดรในครั้งนี้ พระเจ้ากรุงสญชัยจึงขอสองกุมารให้อยู่กับพระองค์ แต่พระนางมัทรีก็ไม่ยินยอม จากนั้นทั้งสี่พระองค์ก็ได้เสด็จไปทูลลาพระนางผสุดี รุ่งขึ้น
พระเวสสันดรให้พนักงานเบิกแก้วแหวนเงินทองบรรทุกรถเสด็จออกจากเมือง ทรงโปรยแก้วแหวนเงินทองเหล่านั้นเป็นทานแก่ยาจกโดยทั่วหน้า แล้วจึงตรัสสั่งให้เสนาอำมาตย์กลับคืนมายังเมือง ส่วนพระองค์พร้อมทั้งพระนางมัทรีและกัณหาชาลีก็มุ่งสู่ป่า มีพราหมณ์มาทูลขอรถทรงและม้าทรง พระองค์ก็ทรงบริจาคให้จนหมดสิ้น พระเวสสันดรจึงอุ้มพระชาลีและพระนางมัทรีอุ้มพระกัณหาเสด็จพระดำเนินต่อไปด้วยพระบาท
กัณฑ์ที่ ๔ วนปเวสน์  มี ๕๓ พระคาถา
      กล่าวถึงการเดินทางของพระเวสสันดรไปยังเขาวงกต ซึ่งมีพระนางมัทรีและชาลีกัณหา อันเป็นพระโอรสและพระธิดาตามเสด็จด้วย ได้พบกับเจ้าเมืองเจตราษฏณ์ เจ้าเมืองเจตราษฏร์มอบให้พรานเจตบุตรเป็นผู้ดูแลมิให้ใครเดินทางไปรบกวนพระเวสสันดรที่เขาวงกต
กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก  มี ๗๙ พระคาถา
        กล่าวถึงพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่า ชูชก เป็นคนเข็ญใจไร้ญาติเที่ยวเร่ร่อนขอทาน จนกระทั่งถึงแก่ชราจึงรวมเงินได้ถึงร้อยกษาปณ์ เห็นว่าถ้าเก็บไว้กับตัวก็จะเป็นอันตราย จึงนำไปฝากกับเพื่อนคนหนึ่งแล้วก็เที่ยวขอทานต่อไป เวลาล่วงเลยมาหลายปี เพื่อนผู้รับฝากเงินไว้เห็นว่าชูชกไม่กลับมาคงจะล้มตายไปแล้ว จึงได้นำเงินที่ชูชกฝากเอาไว้ไปใช้จ่ายจนหมดสิ้น เมื่อชูชกกลับมาเพื่อนคนนั้นไม่มีเงินให้จึงต้องยกลูกสาวชื่อนางอมิตตดาให้เป็นภรรยาชูชก นางอมิตตดา ปรนนิบัติสามีตามหน้าที่ของภรรยาที่ดีทุกอย่าง จนทำให้พราหมณ์อื่นๆ ในหมู่บ้านนั้นตบตีดุด่าภรรยาของตนให้ปรนนิบัติตามอย่างอมิตตดา บรรดาภรรยาทั้งหลายต่างโกรธเคืองหาว่านางอมิตตดาเป็นต้นเหตุ จึงพากันไปเยาะเย้ยถากถางนางอมิตตดาขณะที่นางลงไปตักน้ำที่ท่าน้ำ ทำให้นางอมิตตดารู้สึกอับอาย จึงกลับมาบอกกับชูชกว่าต่อไปนี้นางจะไม่ทำงานอะไรอีก ชูชกจะต้องไปหาข้าทาสมาให้นาง มิฉะนั้นนางจะไม่อยู่ด้วย เทพเจ้าได้เข้าดลใจนางให้แนะชูชกไปขอพระกัณหาชาลีมาเป็นทาส ชูชกจำใจต้องไป ก่อนออกเดินทางชูชกก็จัดการซ่อมแซมบ้านให้แข็งแรง และให้โอวาทนางอมิตตดา ส่วนนางก็จัดเสบียงที่จะเดินทางไว้พร้อม ชูชกแปลงเพศเป็นชีปะขาว แล้วก็ออกเดินทาง พบผู้คนที่ไหนก็สอบถามเรื่องพระเวสสันดรเรื่อยไป พวกชาวเมืองโกรธคิดว่าชูชกจะต้องไปขออะไรจากพระเวสสันดรอีก จึงช่วยกันทำร้ายชูชกจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงเข้าป่าไป เทวดาดลใจให้ชูชกเดินทางไปพบกับพรานเจตบุตรที่กษัตริย์เจตราษฎร์มอบหมายให้คอยดูแลมิให้ใครไปรบกวนพระเวสสันดร ชูชกหลอกพรานเจตบุตรว่าบัดนี้ประชาชนเมืองสีพีหายโกรธเคืองพระเวสสันดรแล้ว พระเจ้ากรุงสณชัยใช้ให้เป็นทูตถือพระราชสาส์นไปเชิญเด็จ
พระเวสสันดรกลับพระนคร พรานเจตบุตรหลงเชื่อจึงบอกเส้นทางที่จะไปสู่เขาวงกตแก่ชูชก
กัณฑ์ที่  ๖ จุลพน  มี ๓๕ พระคาถา
            พรานเจตบุตรหลงเชื่อกลชูชก ที่ได้ชูกลักพริกขิงให้พรานดู อ้างว่าเป็นพระราชสาส์น
ของพระเจ้ากรุงสณชัยจะนำไปถวายพระเวสสันดร พรานเจตบุตรจึงต้อนรับและเลี้ยงดูชูชกเป็นอย่างดีและได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรทฤาษี             
กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน  มี ๘๐ พระคาถา
            ชูชกเดินทางไปถึงอาศรมของพระอัจจุตฤาษี แล้วหลอกลวงพระฤาษีว่า ตนเคยคบหาสมาคมกับพระเวสสันดรมาก่อน เมื่อพระองค์จากมานานจึงใคร่จะเยี่ยมเยียน พระฤาษีหลงเชื่อจึงให้ชูชกพักแรมที่อาศรมหนึ่งคืน รุ่งขึ้นก็อธิบายหนทางที่จะเดินทางว่า จะต้องผ่านภูเขา    คันธมาทน์และสระมุจลินท์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับอาศรมของพระเวสสันดร ชูชกจึงลาพระฤาษีเดินทางต่อไป
 กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร  มี ๑๐๑ พระคาถา
            ชูชกเข้าไปขอสองกุมาร พระเวสสันดรพระราชทานให้ สองกุมารรู้ความจึงหนีไปอยู่ในสระบัว พระเวสสันดรตามไปพูดจาให้สองกุมารเข้าใจ สองกุมารจึงขึ้นจากสระบัว ชูชกพาสองกุมารเดินทางโดยเร่งรีบด้วยเกรงว่า หากพระนางมัทรีกลับจากหาผลไม้ก่อนจะเสียการ
กัณฑ์ที่ ๙ มัทรี  มี ๙๐ พระคาถา
           เมื่อชูชกพาสองกุมารออกไปพ้นพระอาศรมแล้ว เทพทั้งปวงก็วิตกว่า ถ้าพระนางมัทรีกลับมาแต่ยังวันก็จะต้องรีบติดตามหาสองกุมารเป็นแน่ พระอินทร์จึงมีเทวบัญชาให้เทพสามองค์จำแลงเป็นเสือและราชสีห์ไปขวางทางเดินของพระนางมัทรีไว้ ส่วนพระนางมัทรีรู้สึกเป็นทุกข์ถึงสองกุมารเป็นอันมาก เก็บผลไม้ตามแต่จะได้แล้วก็รีบกลับพระอาศรม มาพบสัตว์ทั้งสามขวางหน้าอยู่ก็วิงวอนขอทาง
จนพลบค่ำสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทางให้ เมื่อมาถึงอาศพระนางมองหาสองกุมาร แต่ไม่พบ จึงไปถามพระเวสสันดร  พระเวสสันดรเกรงว่า ถ้าบอกไป พระนางมัทรีจะโศกเศร้ามากยิ่งขึ้นไปอีก จึงแสร้งพูดแสดงความหึงหวงขึ้นเป็นทำนองระแวงที่นางกลับมาจนมืดค่ำ พระนางมัทรีเจ็บใจก็คลายความโศกลง เที่ยวตามหาสองกุมารไปทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่พบ จึงกลับมายังพระอาศรมของพระเวสสันดร แล้วสลบไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นแรง เมื่อ
พระเวสสันดรแก้ไขจนพระนางมัทรีฟื้น พระเวสสันดรจึงเล่าให้ฟังว่าได้บริจาคบุตรเป็นทานแก่พราหมณ์เฒ่าไปแล้ว พระนางมัทรีก็มิได้เศร้าโศก แต่กลับชื่นชมกับมหาบริจาคทานของ
พระเวสสันดรด้วยศรัทธาอันเปี่ยมล้น
กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ  มี ๔๓ พระคาถา
            พระอินทร์เกรงว่าหากมีใครมาของพระนางมัทรีจากพระเวสสันดร ก็จะทำให้
พระเวสสันดรบำเพ็ญภาวนาไม่สะดวก ด้วยไม่มีผู้คอยปรนนิบัติ ดังนั้นพระอินทร์จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เฒ่าลงมาขอและได้ให้พรแปดประการแก่พระเวสสันดร รวมทั้งยังฝากฝังพระนางมัทรีไว้ให้อยู่ปรนนิบัติพระเวสสันดรด้วย 
กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช  มี ๖๙ พระคาถา
            เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ ชูชกผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนตนปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้ เหล่าเทพเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมารให้เดินทางถึงกรุงสีพีโดยปลอดภัย ขณะเดียวกันพระเจ้ากรุงสีพีเกิดนิมิตฝัน ซึ่งตามคำทำนายนั้นนำมายังความปีติปราโมทย์แก่พระองค์ยิ่งนัก
            เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้า พระเจ้ากรุงสีพีก็ทอดพระเนตรเห็นชูชกและกุมารทั้งสองพระองค์ ครั้งทรงทราบความจริง พระองค์จึงพระราชทานค่าไถ่คืน หลังจากนั้นชูชกก็ถึงแก่ความตายเพราะกินอาหารมากเกินขนาด แล้วพระชาลีก็ทูลพระเจ้ากรุงสีพีเพื่อขอให้ไปรับพระบิดาและพระมารดาให้นิวัติคืนพระนคร ในขณะเดียวกันเจ้านครกลิงคราษฎร์ได้คืนช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่นครสีพี
กัณฑ์ที่ ๑๒ กษัตริย์  มี ๓๖ พระคาถา
            พระเจ้ากรุงสญชัยยกทัพไปรับพระเวสสันดร โดยใช้เวลา ๑ เดือน กับ ๒๓ วัน จึงเดินทางถึงเขาวงกต เสียงโห่ร้องของทหารทั้งสี่เหล่าทำให้พระเวสสันดรคิดว่าเป็นข้าศึกมาโจมตีนครสีพี จึงชวนพระนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขานางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดาจึงได้ตรัสทูลพระเวสสันดร และเมื่อทั้งหกษัตริย์ได้พบเห็น ทรงกันแสงสุดประมาณ รวมทั้งทหารเหล่าทัพ ทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืนพระอินทร์จึงได้ดลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาประพรมหกกษัตริย์ให้หายเศร้าโศกและฟื้นพระองค์
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์  มี ๔๘ พระคาถา
            กษัตริย์ทั้งหกยกพลกลับคืนพระนคร หลังจากที่พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพผิด
 พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรี เมื่อเสด็จถึงนครสีพีจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวัตกว่า รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน พระองค์จะประทานสิ่งใดให้แก่ประชาชน ท้าวโกสีย์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว ๗ ประการ ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนมาขนเอาไปตามปรารถนา ที่เหลือให้ขนเข้าพระคลังหลวง
            ในกาลต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรม บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ